เพลงกล่อมเด็กภาคใต้
เพลงโผกเปล
โผกเปลเหอ โผกไว้ช่อฟ้าปาขี้ลม
เทโวเทวาหกเจ็ดองค์ มาห่มรักน้องก้าไม่หวย
ลมพัดมาไม่โถกต้อง มาห่มรักน้องอยู่รวยรวย
ลมพัดไม่หวย ต้องด้วยความรัก..(เอ้อเหอ)..น้อง
ศัพท์ โผกเปล = ผูกเปล ปาขี้ลม = ท่ามกลางหมู่เมฆ
ไม่หวย = ไม่หวั่นไหว โถก = ถูก
วิจารณ์ ความหมายของเพลงพื้นบ้านนับว่าลึกซึ้งยิ่ง กล่าวเป็นโวหารแบบกวีและความสำคัญคล้าย ๆ กับโคลงนิราศนรินทร์บทที่ว่า
โอ้ศรีเสาวลักษณ์ล้ำ แลโลม โลกเอย
แมัว่ามีกิ่งโพยม ยืนหล้า
แขนขวัญนุชชูโฉม แมกเมฆ ไว้แม่
กีดบ่มีกิ่งฟ้า ฝากน้องนางเดียว
ความคิดในโคลงที่ว่า “แม้มีกิ่งโพยม ยืนหล้า แขนขวัญนุชชูโฉม แมกเมฆ-ไว้แม่” ตรงกับความคิดในเพลงกล่อมเด็กว่า “โผกเปลเหอ โผกไว้ช่อฟ้าปาขี้ลม” เพราะผูกเปลในที่นี้หมายถึง ผูกรัก และ ปาขี้ลม ก็หมายถึงหมู่เมฆ ต่างกันแต่ในเพลงกล่อมเด็กเปรียบโลดโผนกว่าในคำโคลง เพราะเพลงกล่อมเด็กได้เปรียบเพิ่มให้มีเทวาถึง ๗ ซึ่งหมายมีมากกว่า ๖ ชั้นฟ้าหรือมากกว่าเทวาในฉกามาวจรตามที่ในวรรณคดีไทยกล่าว ๆ กันไว้ และว่าถึงกระนั้นเทวดาเหล่านั้นก็ยังไม่มีอำนาจมาทำลายรบเร้าให้ความรักของน้องหวั่นไหวได้ ไขความ เพลงบทนี้อาจถอดความได้ดังนี้ ความรักที่มั่นคงของน้อง เปรียบเสมือน ผูกเปลไว้กับหมู่เมฆในห้วงอากาศอันสูงส่ง แม้จะมีเทวดาทั้งหกชั้นฟ้าเจ็ดชั้นฟ้ามารุมเร้ากลั่นแกล้งด้วยจงใจ รักน้องก็หาหวั่นไหวไม่ จะรักนาลสงวนงามไว้เพื่อพี่เพียงคนเดียว ลมปากทั้งปวงอย่าหมายว่าจะก่อให้ใจน้องต้องมลทินแม้แต่เพียงระคายผิว
เพลงลมพัด
ลมพัดเหอ พัดมาวอกแวก
อกน้องเหมือนจะแตก ใครเลยจะเข้ามาล่วงโร้
ถ้าเป็นน้ำเต้าหรือขี้พร้า จะเผาให้คนแลกันโฉโฉ
ใครเลยจะเข้ามาล่วงโร้ ในอกในทรวงน้อง..เอ้อ...เหอ
ศัพท์ โร้ = รู้ ขี้พร้า = ฟักเขียว โฉโฉ = ฉาวโฉ่
ไขความ คำคนหนอคำคนช่างยังผลให้อารมณ์คนวอกแวกหวั่นไหวได้เหมือนสายลม อกน้องเหมือนจะแตกตาย (เกิดเป็นหญิงนี้ยากที่จะบอกความในใจกับใครได้) ใครเลยจะมาล่วงรู้ หากใจนี้สามารถผ่าให้คนดูได้เหมือนฟักเขียวหรือน้ำเต้าก็จะผ่าให้ดู แต่นี่ความรักมันอยู่ก้นลึกของหัวใจ จนใจแท้
วิจารณ์ เพลงบทนี้นอกจากจะเปรียบเทียบง่ายแต่คมคายลึกซึ้ง แล้วยังสะท้อนให้เห็นด้วยว่า หญิงไทยใต้นั้นต้องประหยัดทั้งเนื้อทั้งตัวและวาจา จะบอกฝากรักใครง่าย ๆ ไม่ได้ ลางทีแม้คำพูดจะเป็นเหตุให้กลัดกลุ้มปานอกจะแตกตายก็ต้องทน
เพลงปลูกมัน
ไปไหนเหอ พาน้องไปกัน
ถางไร่โปลกมัน มันไม่ลงหัว
แผ่นดินหมั่นดี แต่มันหมั่นชั่ว
มันไม่ลงหัว สาวย่านไห้วัว..เอ้อ..เหอ..กิน
วิจารณ์ เพลงกล่อมเด็กบทนี้เปรียบเทียบแนวจิตวิทยาเกี่ยวกับนิสัยของคนว่า คนไม่ดีโดยนิสัยชั่วนั้นเหมือนพันธุ์มันที่ไม่ดี ไม่ว่าจะปลูกในที่ดินชนิดไหนย่อมไม่เกิดผล คือไม่ว่าคนนั้นจะไปอยู่ในสถานที่ใดในภาวะอย่างไรก็เอาดีไม่ได้ รังแต่จะตกเป็นอาหารของคนอื่นเหมือนมันที่ไม่ลงหัวนั้นในที่สุดก็ต้องสาวย่านถอนต้นให้เป็นอาหารของสัตว์ (สาวย่านให้วัวกิน)ไม่มีคุณต่อผู้ปลูกฝังชุบเลี้ยง ข้อความในวรรคที่ว่า “ไปไหนพาน้องไป กัน” นั้นเตือนให้คิดว่า คนนั้นไปไหนไม่ไปแต่ตัว แต่เอานิสัยตามตัวไปด้วยทุกแห่งหน
เพลงนกเขียว
นกเขียวเหอ เกาะเรียวไม้พุก
พ่อแม่อยูหนุก โลกไปใช้นาย
ฝนตกฟ้าร้อง พ่อแม่เขาอยูหนุกบาย
โลกไปใช้นาย นั่งกินแต่น้ำตา
ศัพท์ ไม้พุก=ไม้ผุ หนุก=สนุก โลก=ลูก ใช้นาย=เป็นทาสเขา บาย=สบาย
ไขความ เพลงกล่อมเด็กบทนี้สะท้อนให้เห็นสภาพสังคมไทยในสมัยมีทาส พ่อแม่ที่ยากจนไม่อาจเลี้ยงลูกให้ได้รับความสุขได้ คำกล่าวที่ว่าพ่อแม่คือร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกก็กลายเป็นเหมือนเรียวไม้ผุไป ต้องขายลูกไปเป็นทาสเขา ลูกต้องทนรับกรรม ส่วนพ่อแม่กลับอยู่อย่างสนุกสนาน
วิจารณ์ เพลงกล่อมเด็กบทนี้ถ้าจะประเมินคุณค่าทางวรรณศิลป์ ควรจัดว่ามีคุณค่าสูง เพราะมีโวหารเปรียบเทียบคมคาย ใช้โวหารสวมลักษณะของสิ่งหนึ่งให้กับอีกสิ่งหนึ่ง เปรียบนกเขียวกับลูกที่ยังต้องการพึ่งพ่อแม่ เปรียบ เกาะ กับการพึ่งพาอาศัย เปรียบเรียวไม้พุก
กับพ่อแม่ที่ลูกพึ่งพาไม่ได้ เปรียบ ฝนตกฟ้าร้อง กับความทุกข์ยากลำบากทั้งปวง นับว่าผู้แต่งใช้ธรรมชาติใกล้ตัวเป็นสัญลักษณ์ตามแบบฉบับของกวี ประสมกับบรรยากาสที่ชวนให้ผู้ฟังมีอารมณ์เศร้า ทิ้งข้อคิดให้เห็นสภาพความเหลื่อมล้ำของสังคมในสมัยนั้น ผู้แต่งเพลงบทนี้ได้ทำหน้าที่ของนักแต่งคือ “พูดแทนคนที่พูดไม่ได้”
เพลงขึ้นเหนือ
ขึ้นเหนือเหอ แลเรือเกยหาด
โปลกหลาตักบาตร น้ำแห้งเห็นทราย
กุ้งกั้งแมงดา บินมาพลอยตาย
น้ำแห้งเห็นทราย พลอยตายด้วยเรือใหญ่
ศัพท์ โปลกหลา=สร้างศาลา
ไขความ เพลงกล่อมเด็กบทนี้ เป็นบทที่มีความเชิงล้อเลียนสังคม กล่าวตำหนิ ผู้นำ หรือ “เรือ” หรือ “เรือใหญ่” (ตรงกับภาษากลางเรียกว่า หัวเรือใหญ่ ) ตำหนิผู้นำที่ทำอะไรนอกรีตนอกรอยผิดทำนองคลองธรรม แต่มักทำอะไรเอาหน้าให้คนอื่นหลงผิด คนพวกนี้เมื่อหมดอำนาจความชั่วก็จะปรากฏ (น้ำแห้งเห็นทราย) พวกผู้น้อยก็มักพลอยเสียหาย
วิจารณ์ บทนี้มีโวหารและสัญลักษณ์แบบวรรณคดีเช่นเดียวกับบทแรก วิธีการเปรียบนับว่าแยบยล โดยปรกติเรือย่อมแล่นอยู่ในน้ำ แต่ในบทนี้เขียนเป็นเชิงเย้ยเยาะเรือที่แล่นบนบก ( เหนือ ของภาคใต้หมายถึงที่มีเขามีดอย ) อันเปรียบได้กับคนที่ประพฤติตนขัดกับประเพณีนิยมหรือฝืนจารีต ผลที่สุดมักไปจอดติดประจานให้คนตำหนิว่าเป็นคนทำอะไรขาดสติ
คำเปรียบในบทนี้ยังเข้ากับสำนวนไทยเกือบทุกวรรคคือ “เรือ”ในที่นี้หมายถึงผู้นำตรงกับ “หัวเรือใหญ่” “โปลกหลาตักบาตร” ตรงกับสำนวนไทย “ทำบุญเอาหน้า” “ น้ำแห้งเห็นทราย” ตรงกับสำนวนว่า “น้ำลดตอผุด” “พวกแมงดาบินมาพลอยตาย” ตรงกับสำนวนที่ว่า “พวกพลอยฟ้าพลอยฝน” (เพราะแมงดามาพร้อมกับฝนแรก) นับว่าเพลงกล่อมเด็กบทนี้เป็นเหมือนผู้เตือนสติผู้นำและผู้ตามทั้งหลายให้ตระหนักว่าความชั่วที่แฝงปลอมมาในความดีนั้น จะมีค่าและคงอยู่ได้จริงหรือ
เพลงลูกสาว
ลูกสาวเหอ โลกชาวเรินออก
หัวนมผึ้งออก บอกพ่อว่าเป็นฝี
พ่อแม่ไปหาหมอมารักษา หมอว่าอ้ายยะเต็มที
บอกพ่อว่าเป็นฝี โลกสาวชาวเรินออก
ศัพท์ โลกสาว=ลูกสาว เรินออก=บ้านถัดไปทางทิศตะวันออก
ไขความ เพลงบทนี้กล่าวถึงเด็กสาวที่ไม่เข้าใจการพัฒนาของร่าวกาย จึงหวาดกลัวเมื่อเห็นความผิดปรกติของร่างกาย
วิจารณ์ ถ้าเราพิจารณาบทเพลงนี้อย่างลึกซึ้ง จะเห็นว่าชาวบ้านก็สนใจจิตวิทยา
กับพัฒนาการวัยรุ่นมานานแล้ว คงจะได้ขบคิดถึงปัญหานี้เหมือนกันว่าการที่พ่อแม่ไม่ได้ แนะนำให้ลูกเข้าใจถึงความเจริญทางร่างกาย แต่กลับเห็นว่าการที่จะพูดถึงเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าละอาย น่าเกลียดนั้น บางทีก็มีผลเสีย เพราะอาจจะทำให้เด็กแสดงออกในรูปอื่นที่น่าละอายกว่า แทนที่จะละอายกันเพียงในระหว่างพ่อแม่กับลูก กลับพาให้ต้องขายหน้าชาวบ้าน
เพลงบทนี้จึงสะท้อนให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่และการเลี้ยงดูปกครองลูกสาวของชาวบ้านว่าเป็นอย่างไร คติอีกข้อหนึ่งที่ได้จากเพลงบทนี้คือ การแก้ปัญหาใด ๆ ควรแก้ให้ตรงจุด และควรสุขุมรอบคอบ มิฉะนั้นเรื่องเล็กก็จะพลอยเป็นเรื่องใหญ่ ใครที่เข้าใจก็อาจจะหัวเราะเยาะได้ ยิ่งผู้มีหน้าที่ปกครองคนด้วยแล้ว เมื่อผู้น้อยบอกเล่าอันใด ควรสอบถาม สืบสาวหาเหตุผลก่อน เพราะบางทีเขาอาจจะทำให้เราพลอยอับอายได้
เพลงดอกเมละ
ดอกเมละเหอ น้องคือนางดอกเมละ
บานเหมือนอี้เปละ ลอยอยู่ในเลขี้ผึ้ง
ขนตกกะไม่ต้อง ฟ้าร้องกะไม่ถึง
ลอยอยู้ในเลขี้ผึ้ง สาวน้อยคำนึงใจ
ศัพท์ ดอกเมละ=ดอกมะลิ อี้เปละ=บานเต็มที่จวนจะร่วงหล่นแล้ว เล=ทะเล คำนี้ตัดมาจาก ชเล ขนตก=ฝนตก
ไขความ เพลงบทนี้กล่าวถึงจิตวิทยาวัยรุ่นอีกบทหนึ่ง พูดถึงอารมณ์ว้าเหว่ของเด็กสาวคราวมีประจำเดือน ไข่ในมดลูกกำลังสุกจวนหล่นเต็มอยู่ในมดลูก (ในเลขี้ผึ้ง) เมื่อเด็กมีความรูสึกทางเพศเต็มที่เพราะต่อมทางเพศกระตุ้นเตือน แต่ยังไม่ถึงคราว เพราะเรามีประเพณีวัฒนธรรมเป็นเครื่องครองใจไม่ให้ทำอะไรตามความต้องการของอารมณ์เบื้องต่ำ สาวน้อยผู้นี้จึงได้แต่ถวิลอยู่ในใจตามธรรมชาติของสัตว์โลกที่เจริญแล้ว
วิจารณ์ การแสดงออกอันเกี่ยวกับเรื่องเพศ คนไทยยังถือกันว่าเป็นเรื่องน่าบัดสีไม่ควรกล่าวถึงทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านี้คือความจริงที่ทุกคนควรรู้ควรเข้าใจและเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของชีวิตทางโลก ดังนั้นกวีไทยที่แสดงบทอัศจรรย์ก็ดี นักแต่งเพลงกล่อมเด็กชาวใต้ ก็ดี ต้องแสดงออกอย่างแนบเนียนโดยโวหาร ยกเอาสิ่งอื่นมาพูดแทนเทียบเคียง ผู้อ่านผู้ฟังต้องเข้าใจเอาเอง อันนี้เป็นวรรณศิลป์ที่ทุกคนจะเข้าใจและซาบซึ้งไม่เท่ากัน
เพลงรักนุช
รักนุชเหอ สิ้นสุดพี่รักเจ้าหนักหนา
เหมือนเจ้าอุณรุทธ์รักอุษา นางสีดารักพระรามไม่คลายใจ
พระศรีสุธนทรงศักดิ์รักโนรา เหมือนตัวของข้ารักเจ้าหน้าใย
ทำปรือนางเนื้อเย็นจะเห็นใจ หกใสว่าพี่รักคนเอิน
ศัพท์ ทำปรือ = ทำอย่างไร หกใส่ = ใส่ความ
คนเอิน = คนอื่น
วิจารณ์ เพลงบทนี้มีกวีโวหารลักษณะกล่าวรำพันรักอย่างผู้มีภูมิ โดยนำเอาความรักของตัวละครเรื่องเอก ๆ มาอ้าง ลักษณะเช่นนี้หาอ่านได้แต่เฉพาะในวรรณคดีเรื่องเด่น ๆ เท่านั้น อีกสิ่งหนึ่งที่เพลงบทนี้สะท้อนถึง คือแสดงว่าผู้แต่งเพลงกล่อมเด็กปักษ์ใต้สนใจงานของกวีและมีอารมณ์กวี เพลงกล่อมเด็กเกือบทุกบทจึงเจือลงด้วยอารมณ์และงามด้วยความคิดควรแก่การศึกษา
เพลงนางแม่
นางแม่เหอ ที่เลี้ยงโลกมารักษายาก
พอโลกตกฟาก บนควายเขาทอง
เดือนเสเดือนห้า โนรามาแก้เมลยน้อง
บนควายเขาทอง ให้ช่วยชีวิตโลก
ศัพท์ เดือนเส= เดือนสี่ แก้เมลย = แก้บน
วิจารณ์ เพลงกล่อมเด็กบทนี้มีคุณค่าหลายด้านคือ
๑. สะท้อนให้เห็นถึงภูมิธรรม คือชี้ให้เห็นความยากลำบากของแม่ที่เลี้ยงลูก และให้เห็นว่าแม่รักและห่วงลูกเพียงใด
๒. สะท้อนให้เห็นถึงเรื่องความเชื่อทางไสยศาสตร์ มีการนับถือทวยเทพ และต้องมีการบวงสรวง อันแสดงว่าความเชื่อตามแบบศาสนาพราหมณ์มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของชาวปักษ์ใต้
๓. สะท้อนให้เห็นว่าในระหว่างเดือนสี่เดือนห้านั้นเป็นเทศกาลที่ชาวใต้นิยมจัดงานแก้บน และในงานแก้บนนั้นนิยมรับโนรามาเล่นฉลอง การบนบานก็จะให้ของมีค่า หายากเป็นเครื่องพลีแก้บน เช่น วัวหรือควายเขาทอง ( เมื่อแก้จริงก็จัดฆ่าวัวควายธรรมดาแต่เอาแหวนหรือกำไลทองมาสวมเขา เอาเคล็ดเท่านั้น )
นางนกเหวก
คือน้อง เหอ …… คือนางนกเหวก บินสูงเทียมเมฆ ข้ามเขาสาคร หัวปีกลาย ลาย
พี่ชายไว้ทำหัวหมอน ข้ามเขาสาคร หัวหมอนนางนกเหวก …… เหอ ………
ศัพท์ นกเหวก = นกการะเวก
นอน
นอนเสีย น้องนอน ……… เหอ ………. หว่างบ้านเมืองคอนเขาไม่วุ่น ปีนี้ว่าสนุก ปีหน้ามันสนุกยิ่งหวา เงินทองเสื้อผ้า ไม่พักหามันมาเอง เหอ ……………..
ศัพท์ หว่าง = ระหว่าง ยิ่งหวา = ยิ่งกว่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น